วันอาทิตย์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

Simple Harmonic Motion

การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย(Simpleharmonic Motion)
           



             การเคลื่อนที่ของสิ่งต่างๆ เช่น การแกว่งชิงช้า การแกว่งของลูกตุ้ม การเคลื่อนที่ของมวลที่ติดกับปลายแผ่นสปริง การเคลื่อนที่ขึ้นลงของผิวน้ำขณะเกิดคลื่นผิวน้ำ การเคลื่อนที่ของสิ่งเหล่านี้แตกต่างจากการเคลื่อนที่แบบอื่นอย่างไร

              การเคลื่อนที่ของชิงช้า ลูกตุ้มและมวลที่ปลายแผ่นสปริงมีลักษณะที่เหมือนกัน คือ ถ้าเราเริ่มสังเกตวัตถุดังกล่าวจะเคลื่อนที่ผ่านตำแหน่งสมดุลไปในทิศทางหนึ่งและอัตราเร็วจะลดลงเรื่อยๆจนหยุด แล้วเคลื่อนที่ย้อนกลับมาตามแนวทางเดิม โดยอัตราเร็วเพิ่มขึ้นเรื่อยๆและมีอัตราเร็วสูงสุดเมื่อผ่านตำแหน่งสมดุล จากนั้นอัตราเร็วจะลดลงจนหยุดอีกครั้งหนึ่ง

  การเคลื่อนที่ของวัตถุติดสปริงบนพื้นราบ


          ในรูป  วางมวลไว้บนพื้นราบ ผูกวัตถุเข้ากับปลายหนึ่งของสปริงโดยที่อีกปลายหนึ่งของสปริงผูกติดกับผนัง วัตถุจะอยู่นิ่งๆ บนพื้นในตำแหน่งสมดุล เมื่อดึงวัตถุออกจากตำแหน่งสมดุลแล้วปล่อยให้วัตถุเคลื่อนที่บนพื้นราบ วัตถุจะเคลื่อนที่กลับไปกลับมาผ่านตำแหน่งสมดุลและซ้ำเส้นทางเดิมการเคลื่อนที่ในลักษณะนี้มีจำนวนมาก เช่น  การสั่นของสายไวโอลินเมื่อถูกสี การสั่นของกลองเมื่อถูกตี  การเคลื่อนที่ของวัตถุที่ติดปลายลวดสปริง การเคลื่อนที่ของโมเลกุลอากาศเมื่อเคลื่อนเสียงส่งผ่าน  การเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนในสายอากาศของเครื่องส่งวิทยุ เป็นต้น ปริมาณที่สำคัญอย่างหนึ่งของการเคลื่อนที่ในลักษณะนี้ คือ ความถี่ ซึ่งหมายถึงจำนวนรอบของการเคลื่อนที่ใน 1 วินาที แทนสัญลักษณ์ f มีหน่วยเป็นเฮิรตซ์ (Hz) ซึ่ง 1 Hz =  1s^{ - 1}                            
           ความถี่จะเป็นส่วนกลับกับคาบ ดังสมการ (4.13) คาบคือ เวลาในการเคลื่อนที่ครบ 1 รอบ ใช้สัญลักษณ์  T  แทนคาบ คาบมีหน่วยเป็นวินาที (s)
                                T = \frac{1}{f}                                                                                   (4.13)
          การเคลื่อนที่ใดๆ ซึ่งเคลื่อนที่กลับไปมาซ้ำทางเดิม โดยผ่านตำแหน่งสมดุลและคาบของการเคลื่อนที่คงตัว ดังแสดงด้วยกราฟของการเคลื่อนที่ในแนวแกน x ดังรูป 4.24  เรียกว่า การเคลื่อนที่แบบพีริออดิก(periodic motion)
           





กราฟของการเคลื่อนที่แบบพีริออดิก ทางแกน x


          การเคลื่อนที่แบบพีริออดิกชนิดหนึ่งที่กราฟของการกระจัดกับเวลาอยู่ในรูปของฟังก์ชันไซน์หรือโคไซน์ความถี่คงที่มีค่าที่แน่นอนค่าเดียว เรียกว่า  การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย  (simple harmonic motion) นั่นคือ การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่ายเป็นการเคลื่อนที่แบบพีริออดิกอย่างหนึ่ง อาจจะเรียกย่อๆ ว่า  การเคลื่อนที่แบบ  SHM  การกระจัดทาง  x  ในรูปฟังก์ชันของเวลา  t  ของ SHM โดยทั่วไปเขียนเป็นสมการได้เป็น
                  x = x_m \cos (\omega t + \phi )                                     (4.14)   
                  ซึ่ง  x_m , \omega และ\phi เป็นค่าคงตัว
                  x_mเป็นการกระจัดสูงสุด เรียกว่า แอมพลิจูด (Amplitude)  
                 \omega เป็นความถี่เชิงมุม มีค่าเท่ากับ 2\pi f เมื่อ f  เป็นความถี่ หรือเท่ากับ\frac{{2\pi }}{T}เมื่อ  T  เป็น คาบ  (period)
\phi เป็นค่าคงตัวทางเฟส (phase constant)  หมายถึงเฟสเริ่มต้น  คือค่าเฟสที่เวลาเป็นศูนย์ การเคลื่อนที่จะเป็นรูปไซน์หรือโคไซน์ขึ้นกับค่านี้ ถ้า  \phi = 0ก็เป็นรูปโคไซน์ ถ้า  \phi = - \frac{\pi }{2} ก็เป็นรูปไซน์  เนื่องจากรูปโคไซน์และรูปไซน์ต่างกันที่เฟสเท่านั้น  จึงอาจเรียกรวมว่าเป็นฟังก์ชันรูปไซน์ (sinusoidal function)  \omega tในสมการ (4.14)  นับเป็นเฟสที่เปลี่ยนไปตามเวลาของการเคลื่อนที่
          จากสมการ (4.14)  เมื่อเขียนกราฟระหว่างการกระจัดกับเวลา โดยมี \phi ต่างๆ กันการกระจัดที่ตำแหน่งเริ่มต้นจะมีค่าขึ้นกับมุมเฟสเริ่มต้น \phi ดังรูป 
 

กราฟระหว่างการกระจัดกับเวลาของฟังก์ชันรูปไซน์ \phi = 0, - \pi /4 และ- \pi /2 </b>
การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย จึงอาจจะเขียนได้ในรูป
                                                     x = A\sin \omega t                                                (4.15)
          ถ้าอนุภาคเริ่มต้นเคลื่อนที่จากตำแหน่งสมดุล  (x  =  0)  ซึ่งจะมีลักษณะเช่นเดียวกับกราฟของ
                                                     x = A\cos \left( {\omega t - \frac{\pi }{2}} \right)

        สรุปได้ว่า  สำหรับ การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย  คือการเคลื่อนที่ซึ่งมีการกระจัดเป็นฟังก์ชันของเวลาเป็นฟังก์ชันรูปไซน์


การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่ายเทียบกับการเคลื่อนที่เป็นวงกลม

การเคลื่อนที่แบบซิมเปิ้ลฮาร์มอนิก มีลักษณะคล้ายกับการเคลื่อนที่แบบวงกลม กล่าวคือ มีการเคลื่อนที่กลับไปกลับมาซ้ำรอยเดิม เมื่อการเคลื่อนที่ครบรอบ ดังนั้น การศึกษาปริมาณที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนที่แบบซิมเปิ้ลฮาร์มอกนิก จึงสามารถศึกษาได้จาก เงาของวัตถุที่เคลื่อนที่แบบวงกลมในระนาบดิ่ง ที่ตกกระทบไปยังระนาบในแนวดิ่ง และในแนวระดับ ดังภาพ
 

การหาปริมาณต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนที่แบบซิมเปิ้ลฮาร์มอนิก เช่น การกระจัด ความเร็ว และความเร่งของนุภาค ณ ตำแหน่งต่างๆ เมื่อเวลาผ่านไป t ทั้งในแนวระดับและในแนวดิ่ง สามารถหาได้โดยใช้ความรู้เกี่ยวกับการเคลื่อนที่ในแนววงกลม


เมื่อเวลาผ่านไป t ให้อนุภาคเคลื่อนที่ในแนวเฉพาะส่วนโค้งของวงกลมจากตำแหน่ง A ไปอยู่ตำแหน่ง B ทำมุมที่จุดศูนย์กลางhttps://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj8WqogayaX7iex813u_Rm2QqoBO7nSeg2NObFP0t0pN8DWjFK6tb2sTIk4K4vW1su9YVBa7zkIAfuDfwIENDhGXT6KY-gaiqNYPJ6QD8tdF9dmZcaHawDPfPUQvcYYV4_tJmuEDKSp6w/s1600/showimage.pngซึ่งเท่ากับhttps://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhqA2eI0AD01IIvRK6uf1XAaT_3FJ7XKDFn8BLHeTndaISO4sK-NWHMTT1fnsZl7J0vn2s0SRKSq6GnlIyKGMgzkFovl3wgA5LzZvg48N9l823tJzwn1tMnD4w3wJgT2beaB4eDPYKVww/s1600/showimage+(1).png&container=blogger&gadget=a&rewriteMime=image%2F*ดังรูป



การหาการกระจัดในแนวระดับและในแนวดิ่ง

จากรูป พิจารณาในแนวระดับ จะได้




พิจารณาในแนวดิ่ง  จะได้

 พิจารณาความเร็วของเงาของอนุภาค  จากรูป     ตำแหน่ง  B  มีขนาด  v   



ซึ่งเท่ากับซึ่งเท่ากับ «math xmlns=¨http://www.w3.org/1998/Math/MathML¨»«mi»§#969;R«/mi»«/math» หรือ  «math xmlns=¨http://www.w3.org/1998/Math/MathML¨»«mi»§#969;A«/mi»«/math»   สามารถหาขนาดของความเร็วของเงาอนุภาคในแนวระดับและแนวดิ่งได้  ดังนี้
 



การหา «math xmlns=¨http://www.w3.org/1998/Math/MathML¨»«msub»«mi»v«/mi»«mi»x«/mi»«/msub»«/math» และ «math xmlns=¨http://www.w3.org/1998/Math/MathML¨»«msub»«mi»v«/mi»«mi»y«/mi»«/msub»«/math»
XXXXXจากรูปXXXXXX«math xmlns=¨http://www.w3.org/1998/Math/MathML¨»«msub»«mi»v«/mi»«mi»x«/mi»«/msub»«mo»§nbsp;«/mo»«mo»=«/mo»«mo»§nbsp;«/mo»«mo»-«/mo»«mi»v«/mi»«mo»§nbsp;«/mo»«mi»sin«/mi»«mo»§nbsp;«/mo»«mi»§#952;«/mi»«/math»

XXXXXXXXXXXXXXX«math xmlns=¨http://www.w3.org/1998/Math/MathML¨»«msub»«mi»v«/mi»«mi»x«/mi»«/msub»«mo»§nbsp;«/mo»«mo»=«/mo»«mo»§nbsp;«/mo»«mo»-«/mo»«mi»§#969;A«/mi»«mo»§nbsp;«/mo»«mi»sin«/mi»«mo»§nbsp;«/mo»«mi»§#969;t«/mi»«/math»
XXXXXและXXXXXXX«math xmlns=¨http://www.w3.org/1998/Math/MathML¨»«msub»«mi»v«/mi»«mi»y«/mi»«/msub»«mo»§nbsp;«/mo»«mo»=«/mo»«mo»§nbsp;«/mo»«mi»v«/mi»«mo»§nbsp;«/mo»«mi»cos«/mi»«mo»§nbsp;«/mo»«mi»§#952;«/mi»«/math»
XXXXXXXXXXXXXX «math xmlns=¨http://www.w3.org/1998/Math/MathML¨»«msub»«mi»v«/mi»«mi»y«/mi»«/msub»«mo»§nbsp;«/mo»«mo»=«/mo»«mo»§nbsp;«/mo»«mi»§#969;A«/mi»«mo»§nbsp;«/mo»«mi»cos«/mi»«mo»§nbsp;«/mo»«mi»§#969;t«/mi»«/math»
XXXXXจากXXXXXXX«math xmlns=¨http://www.w3.org/1998/Math/MathML¨»«msup»«mi»sin«/mi»«mn»2«/mn»«/msup»«mi»§#952;«/mi»«mo»§nbsp;«/mo»«mo»+«/mo»«mo»§nbsp;«/mo»«msup»«mi»cos«/mi»«mn»2«/mn»«/msup»«mi»§#952;«/mi»«mo»§nbsp;«/mo»«mo»=«/mo»«mo»§nbsp;«/mo»«mn»1«/mn»«/math»
XXXXXXXXXXXXXX«math xmlns=¨http://www.w3.org/1998/Math/MathML¨»«mtable columnalign=¨left¨ rowspacing=¨0¨»«mtr»«mtd»«mi»sin«/mi»«mo»§nbsp;«/mo»«mi»§#952;«/mi»«mo»§nbsp;«/mo»«mo»=«/mo»«msqrt»«mrow»«mo»§nbsp;«/mo»«mn»1«/mn»«mo»-«/mo»«mo»§nbsp;«/mo»«msup»«mi»cos«/mi»«mn»2«/mn»«/msup»«mi»§#952;«/mi»«mo»§nbsp;«/mo»«/mrow»«/msqrt»«/mtd»«/mtr»«mtr»«mtd»«mi»cos«/mi»«mo»§nbsp;«/mo»«mi»§#952;«/mi»«mo»§nbsp;«/mo»«mo»=«/mo»«msqrt»«mrow»«mo»§nbsp;«/mo»«mn»1«/mn»«mo»-«/mo»«mo»§nbsp;«/mo»«msup»«mi»sin«/mi»«mn»2«/mn»«/msup»«mi»§#952;«/mi»«mo»§nbsp;«/mo»«/mrow»«/msqrt»«/mtd»«/mtr»«/mtable»«/math»
XXXXXแทนค่า «math xmlns=¨http://www.w3.org/1998/Math/MathML¨»«mi»sin«/mi»«mo»§nbsp;«/mo»«mi»§#952;«/mi»«mo»§nbsp;«/mo»«mo»,«/mo»«mo»§nbsp;«/mo»«mi»cos«/mi»«mo»§nbsp;«/mo»«mi»§#952;«/mi»«/math» ในสมการ
XXXXXได้ว่าXXXXX«math xmlns=¨http://www.w3.org/1998/Math/MathML¨»«msub»«mi»v«/mi»«mi»x«/mi»«/msub»«mo»§nbsp;«/mo»«mo»=«/mo»«mo»§nbsp;«/mo»«mi»§#969;A«/mi»«msqrt»«mrow»«mo»§nbsp;«/mo»«mn»1«/mn»«mo»-«/mo»«mo»§nbsp;«/mo»«msup»«mi»cos«/mi»«mn»2«/mn»«/msup»«mi»§#969;t«/mi»«mo»§nbsp;«/mo»«/mrow»«/msqrt»«/math»
XXXXXXXXXXXX «math xmlns=¨http://www.w3.org/1998/Math/MathML¨»«mtable columnalign=¨left¨ rowspacing=¨0¨»«mtr»«mtd»«mo»§nbsp;«/mo»«mo»§nbsp;«/mo»«mo»§nbsp;«/mo»«mo»=«/mo»«mo»§nbsp;«/mo»«mi»§#969;«/mi»«msqrt»«mrow»«mo»§nbsp;«/mo»«msup»«mi»A«/mi»«mn»2«/mn»«/msup»«mo»-«/mo»«mo»§nbsp;«/mo»«msup»«mi»A«/mi»«mn»2«/mn»«/msup»«msup»«mi»cos«/mi»«mn»2«/mn»«/msup»«mi»§#969;t«/mi»«mo»§nbsp;«/mo»«/mrow»«/msqrt»«/mtd»«/mtr»«mtr»«mtd»«msub»«mi»v«/mi»«mi»x«/mi»«/msub»«mo»§nbsp;«/mo»«mo»=«/mo»«mo»§nbsp;«/mo»«mo»§#177;«/mo»«mo»§nbsp;«/mo»«mi»§#969;«/mi»«msqrt»«mrow»«mo»§nbsp;«/mo»«msup»«mi»A«/mi»«mn»2«/mn»«/msup»«mo»+«/mo»«msup»«mi»x«/mi»«mn»2«/mn»«/msup»«mo»§nbsp;«/mo»«/mrow»«/msqrt»«/mtd»«/mtr»«/mtable»«/math»
XXXXXและXXXXX«math xmlns=¨http://www.w3.org/1998/Math/MathML¨»«msub»«mi»v«/mi»«mi»y«/mi»«/msub»«mo»§nbsp;«/mo»«mo»=«/mo»«mo»§nbsp;«/mo»«mi»§#969;A«/mi»«msqrt»«mrow»«mo»§nbsp;«/mo»«mn»1«/mn»«mo»-«/mo»«mo»§nbsp;«/mo»«msup»«mi»sin«/mi»«mn»2«/mn»«/msup»«mi»§#969;t«/mi»«mo»§nbsp;«/mo»«/mrow»«/msqrt»«/math»
XXXXXXXXXXXX «math xmlns=¨http://www.w3.org/1998/Math/MathML¨»«mtable columnalign=¨left¨ rowspacing=¨0¨»«mtr»«mtd»«mo»§nbsp;«/mo»«mo»§nbsp;«/mo»«mo»§nbsp;«/mo»«mo»=«/mo»«mo»§nbsp;«/mo»«mi»§#969;«/mi»«msqrt»«mrow»«mo»§nbsp;«/mo»«msup»«mi»A«/mi»«mn»2«/mn»«/msup»«mo»-«/mo»«mo»§nbsp;«/mo»«msup»«mi»A«/mi»«mn»2«/mn»«/msup»«msup»«mi»sin«/mi»«mn»2«/mn»«/msup»«mi»§#969;t«/mi»«mo»§nbsp;«/mo»«/mrow»«/msqrt»«/mtd»«/mtr»«mtr»«mtd»«msub»«mi»v«/mi»«mi»y«/mi»«/msub»«mo»§nbsp;«/mo»«mo»=«/mo»«mo»§nbsp;«/mo»«mo»§#177;«/mo»«mo»§nbsp;«/mo»«mi»§#969;«/mi»«msqrt»«mrow»«mo»§nbsp;«/mo»«msup»«mi»A«/mi»«mn»2«/mn»«/msup»«mo»+«/mo»«msup»«mi»y«/mi»«mn»2«/mn»«/msup»«mo»§nbsp;«/mo»«/mrow»«/msqrt»«/mtd»«/mtr»«/mtable»«/math»
XXXXXเครื่องหมาย  «math xmlns=¨http://www.w3.org/1998/Math/MathML¨»«mo»§#177;«/mo»«/math» หมายความว่า  ณ  ตำแหน่งหนึ่งๆ อนุภาคมีการเคลื่อนที่ไปและกลับ
XXXXXพิจารณาความเร่งของเงาของอนุภาค  จากรูป  ณ  ตำแหน่ง  B มีความเร่ง  a  ซึ่งเท่ากับ  «math xmlns=¨http://www.w3.org/1998/Math/MathML¨»«msup»«mi»§#969;«/mi»«mn»2«/mn»«/msup»«mi»R«/mi»«/math» หรือ  «math xmlns=¨http://www.w3.org/1998/Math/MathML¨»«msup»«mi»§#969;«/mi»«mn»2«/mn»«/msup»«mi»A«/mi»«/math» สามารถหาขนาดของความเร่งของเงาของอนุภาคในแนวระดับและแนวดิ่งๆ ได้  ดังนี้
XXXXXการหา «math xmlns=¨http://www.w3.org/1998/Math/MathML¨»«mover accent=¨true¨»«msub»«mi»a«/mi»«mi»x«/mi»«/msub»«mo»§#8594;«/mo»«/mover»«/math» และ «math xmlns=¨http://www.w3.org/1998/Math/MathML¨»«mover accent=¨true¨»«msub»«mi»a«/mi»«mi»y«/mi»«/msub»«mo»§#8594;«/mo»«/mover»«/math»
XXXXXจากรูปXXXXX«math xmlns=¨http://www.w3.org/1998/Math/MathML¨»«msub»«mi»a«/mi»«mi»x«/mi»«/msub»«mo»§nbsp;«/mo»«mo»=«/mo»«mo»§nbsp;«/mo»«mo»-«/mo»«msup»«mi»§#969;«/mi»«mn»2«/mn»«/msup»«mi»A«/mi»«mo»§nbsp;«/mo»«mi»cos«/mi»«mo»§nbsp;«/mo»«mi»§#969;t«/mi»«/math»
XXXXXหรือXXXXXX«math xmlns=¨http://www.w3.org/1998/Math/MathML¨»«msub»«mi»a«/mi»«mi»x«/mi»«/msub»«mo»§nbsp;«/mo»«mo»=«/mo»«mo»§nbsp;«/mo»«mo»-«/mo»«msup»«mi»§#969;«/mi»«mn»2«/mn»«/msup»«mi»x«/mi»«/math»
XXXXXและXXXXXX«math xmlns=¨http://www.w3.org/1998/Math/MathML¨»«msub»«mi»a«/mi»«mi»y«/mi»«/msub»«mo»§nbsp;«/mo»«mo»=«/mo»«mo»§nbsp;«/mo»«mo»-«/mo»«mi»a«/mi»«mo»§nbsp;«/mo»«mi»sin«/mi»«mo»§nbsp;«/mo»«mi»§#952;«/mi»«/math»
XXXXXXXXXXXXX «math xmlns=¨http://www.w3.org/1998/Math/MathML¨»«msub»«mi»a«/mi»«mi»y«/mi»«/msub»«mo»§nbsp;«/mo»«mo»=«/mo»«mo»§nbsp;«/mo»«mo»-«/mo»«msup»«mi»§#969;«/mi»«mn»2«/mn»«/msup»«mi»A«/mi»«mo»§nbsp;«/mo»«mi»sin«/mi»«mo»§nbsp;«/mo»«mi»§#969;t«/mi»«/math»
XXXXXหรือ XXXXX«math xmlns=¨http://www.w3.org/1998/Math/MathML¨»«msub»«mi»a«/mi»«mi»y«/mi»«/msub»«mo»§nbsp;«/mo»«mo»=«/mo»«mo»§nbsp;«/mo»«mo»-«/mo»«msup»«mi»§#969;«/mi»«mn»2«/mn»«/msup»«mi»y«/mi»«/math»
XXXXXจากสมการที่ได้ออกมาเครื่องหมายมีค่าติดลบ  (-)  หมายความว่า  ณ  ตำแหน่ง  B ความเร่ง  a  มีทิศตรงข้ามกับการกระจัด  «math xmlns=¨http://www.w3.org/1998/Math/MathML¨»«mover accent=¨true¨»«mi»x«/mi»«mo»§#8594;«/mo»«/mover»«/math» และ «math xmlns=¨http://www.w3.org/1998/Math/MathML¨»«mover accent=¨true¨»«mi»y«/mi»«mo»§#8594;«/mo»«/mover»«/math»
การหาอัตราเร็วสูงสุด  («math xmlns=¨http://www.w3.org/1998/Math/MathML¨»«msub»«mi»v«/mi»«mi»max«/mi»«/msub»«/math»)   และอัตราความเร่ง («math xmlns=¨http://www.w3.org/1998/Math/MathML¨»«msub»«mi»a«/mi»«mi»max«/mi»«/msub»«/math»)

XXXXXจากXXXXX«math xmlns=¨http://www.w3.org/1998/Math/MathML¨»«mi»v«/mi»«mo»§nbsp;«/mo»«mo»=«/mo»«mo»§nbsp;«/mo»«mi»§#969;«/mi»«msqrt»«mrow»«msup»«mi»a«/mi»«mn»2«/mn»«/msup»«mo»+«/mo»«msup»«mi»y«/mi»«mn»2«/mn»«/msup»«/mrow»«/msqrt»«/math»
XXXXXณ  ตำแหน่งสมดุล  «math xmlns=¨http://www.w3.org/1998/Math/MathML¨»«mi»y«/mi»«mo»§nbsp;«/mo»«mo»=«/mo»«mo»§nbsp;«/mo»«mn»0«/mn»«mo»,«/mo»«mo»§nbsp;«/mo»«mi»v«/mi»«/math» มีค่ามากที่สุด
XXXXXได้ว่าXXXXX«math xmlns=¨http://www.w3.org/1998/Math/MathML¨»«mi»v«/mi»«mo»§nbsp;«/mo»«mo»=«/mo»«mo»§nbsp;«/mo»«mi»§#969;«/mi»«msqrt»«mrow»«msup»«mi»a«/mi»«mn»2«/mn»«/msup»«mo»+«/mo»«mn»0«/mn»«/mrow»«/msqrt»«/math»
XXXXXดังนั้นXXXXX«math xmlns=¨http://www.w3.org/1998/Math/MathML¨»«msub»«mi»v«/mi»«mi»max«/mi»«/msub»«mo»§nbsp;«/mo»«mo»=«/mo»«mo»§nbsp;«/mo»«mi»§#969;A«/mi»«/math»
XXXXXจากXXXXXXXXX«math xmlns=¨http://www.w3.org/1998/Math/MathML¨»«mi»a«/mi»«mo»§nbsp;«/mo»«mo»=«/mo»«mo»§nbsp;«/mo»«msup»«mi»§#969;«/mi»«mn»2«/mn»«/msup»«mi»y«/mi»«/math»
XXXXXณ  ตำแหน่งไกลสุด  y  มากสุดเท่ากับ  A   a มีค่ามากที่สุด
XXXXXได้ว่าXXXXX«math xmlns=¨http://www.w3.org/1998/Math/MathML¨»«msub»«mi»a«/mi»«mi»max«/mi»«/msub»«mo»§nbsp;«/mo»«mo»=«/mo»«mo»§nbsp;«/mo»«msup»«mi»§#969;«/mi»«mn»2«/mn»«/msup»«mi»A«/mi»«/math»

 

ถ้านำดินน้ำมันก้อนโตพอเหมาะติดไว้ที่ขอบวงล้อกลมหรือแผ่นไม้วงกลมซึ่งหมุนได้คล่องในแนวระดับ เมื่อหมุนวงล้อให้อัตราเร็วเชิงมุมสม่ำเสมอ  ดินน้ำมันจะเคลื่อนที่ในแนววงกลมด้วยอัตราเร็วสม่ำเสมอด้วย  เมื่อฉายลำแสงขนานในแนวระดับไปที่ดินน้ำมัน ดังรูป   เงาของดินน้ำมันจะปรากฏบนฉากข้างหลัง โดยการเคลื่อนที่ของเงาจะกลับไปกลับมาในแนวตรงเป็นแบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย

การฉายแสงผ่านวัตถุที่เคลื่อนที่เป็นวงกลม ปรากฏเงาบนฉากเป็น SHM
พิจารณาการเคลื่อนที่แบบวงกลมสัมพันธ์กับการเคลื่อนที่แบบซิมเปิลฮาร์โมนิค (S.H.M)
                    

  จากภาพจะเห็นว่าเมื่อวัตถุสีเหลืองเคลื่อนที่เป็นวงกลม  เงาของวัตถุบนฉากจะเคลื่อนที่เป็นเส้นตรงกลับไป
กลับมา เรียกการเคลื่อนที่แบบซ้ำรอยเดิมนี้ว่า การเคลื่อนที่แบบซิมเปิลฮาร์โมนิค   (Simple Harmonic Motion)
หรือการเคลื่อนที่แบบ S.H.M


เงาบนฉากของวัตถุที่เคลื่อนที่เป็นวงกลม ก็เหมือนกบการคิดองค์ประกอบทาง x  ของการเคลื่อนที่ของจุดๆ หนึ่งเป็นวงกลมบนระนาบ xy  ดังรูป 4.27 ให้ที่ขณะหนึ่งจุดนั้นอยู่ที่ตำแหน่งมุม  \thetaหลังจากเคลื่อนที่มาแล้วเป็นเวลา  t  จากจุดตั้งต้นบนแกน  x  ดังรูป  การเคลื่อนที่เป็นวงกลมที่มีอัตราเร็วสม่ำเสมอ ดังนั้น  \theta = \omega tถ้าวงกลมมีรัศมี  r  จะมีองค์ประกอบของตำแหน่งบนแกน x คือ
                                                     x = r\cos \theta = r\cos \omega t                                     (4.16)
และองค์ประกอบของความเร็วบนแกน  x  คือ
                                                   v_x = - v\sin \theta = - r\omega \sin \omega t                            (4.17)
                          

จุด P เคลื่อนที่เป็นวงกลมอย่างสม่ำเสมอบนระนาบ xy


          จากความเร่งในทิศเข้าหาจุดศูนย์กลางมีขนาดเท่ากับ   \omega ^2 rหรือ v^2 /r จะได้องค์ประกอบของความเร่งบนแกน  x  คือ
                                       a_x = - a\cos \theta = - \omega ^2 r\cos \omega t                                  (4.18)
          จะเห็นว่าตำแหน่งทาง  x  ในสมการ (4.16)  เป็นอย่างเดียวกับสมการ (4.14)  เมื่อ เมื่อ เมื่อ เมื่อ \phi = 0ซึ่งเป็นการเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย  และเมื่อนำมาใช้ในสมการ (4.18)  จะทำให้ได้ว่า
                                                           a_x = - \omega ^2 x                                              (4.19)
          สมการ (4.19) แสดงลักษณะสำคัญประการหนึ่งของการเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย นั่นคือ การมีความเร่งเป็นปฎิภาคกับการกระจัดแต่มีทิศตรงกันข้าม เนื่องจาก\omega^2 มีค่าคงตัว ทั้งนี้ทิศของความเร่งจะเป็นทิศเดียวกับแรง และแรงจะต้องเป็นแรงเข้าหาจุดสมดุลในขณะที่การกระจัดมีทิศออกไปจากสมดุล
            สำหรับการเคลื่อนที่ของดินน้ำมันไปตามแนววงกลม เมื่อเคลื่อนที่ครบ 1 รอบใช้เวลาที่เรียกว่าหนึ่งคาบ (period) หรือ T หนึ่งรอบหมายถึงดินน้ำมันจะเคลื่อนที่ไป 2\piเรเดียน ดังนั้นอัตราเร็วเชิงมุม \omega  ของการเคลื่อนที่เป็นวงกลมจึงมีค่าเท่ากับ \frac{{2\pi }}{T}ส่วนเงาของดินน้ำมันที่เคลื่อนที่กลับไปกลับมารอบตำแหน่งสมดุลจะมีความถี่ของการเคลื่อนที่เป็น  f= \frac{1}{T}มีหน่วยเป็นรอบต่อวินาทีหรือเฮิรตซ์ (hertz, Hz)  ความถี่เชิงมุม (\omega)  ของการเคลื่อนที่แบบ SHM  มีค่าเป็น 2\pi f= \frac{{2\pi }}{T}ซึ่งมีค่าเหมือนกับอัตราเร็วเชิงมุม \omega และมีหน่วยเป็นเรเดียนต่อวินาทีเช่นเดียวกัน

การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่ายของรถติดสปริง 

         เมื่อดึงรถทดลองให้สปริงยึดและรถออกจากตำแหน่งสมดุลเป็นระยะ A จะได้การกระจัดของรถทดลองมีค่า  A และมีแรง  \mathord{\buildrel{\lower3pt\hbox{$\scriptscriptstyle\rightharpoonup$}} \over F}ของสปริงดึงรถทดลองไปทางซ้าย ดัง รูป 4.28  ก. แรงนี้เรียกว่า แรงดึงกลับ  (restoring  force) มีค่าตาม \mathord{\buildrel{\lower3pt\hbox{$\scriptscriptstyle\rightharpoonup$}} \over F}=- k\mathord{\buildrel{\lower3pt\hbox{$\scriptscriptstyle\rightharpoonup$}} \over x}ซึ่งแสดงว่าขนาดและแรงดึงกลับแปรผันตรงกับระระยืดหรือหดของสปริงหรือขนาดการกระจัด  แต่แรงดึงกลับ \mathord{\buildrel{\lower3pt\hbox{$\scriptscriptstyle\rightharpoonup$}} \over F} มีทิศตรงข้ามกับการกระจัด\mathord{\buildrel{\lower3pt\hbox{$\scriptscriptstyle\rightharpoonup$}} \over x}โดย  k  เป็นค่าคงตัวของสปริง
        เมื่อปล่อยมือ แรง \mathord{\buildrel{\lower3pt\hbox{$\scriptscriptstyle\rightharpoonup$}} \over F} จะดึงรถทดลองเคลื่อนที่กลับไปทางซ้ายเข้าหาตำแหน่งสมดุลด้วยความเร่ง\mathord{\buildrel{\lower3pt\hbox{$\scriptscriptstyle\rightharpoonup$}} \over a}ทำให้ความเร็วมีขนาดเพิ่มขึ้นและมีทิศไปทางซ้าย ขนาดของแรง\mathord{\buildrel{\lower3pt\hbox{$\scriptscriptstyle\rightharpoonup$}} <br />
\over F}จะลดลง เพราะขนาดการกระจัด \mathord{\buildrel{\lower3pt\hbox{$\scriptscriptstyle\rightharpoonup$}} \over x}ลดลง  การเคลื่อนที่เป็นแบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย เมื่อรถทดลองเคลื่อนที่ถึงตำแหน่งสมดุล ขนาดของการกระจัด \mathord{\buildrel{\lower3pt\hbox{$\scriptscriptstyle\rightharpoonup$}} \over x}เป็นศูนย์ ขนาดของ\mathord{\buildrel{\lower3pt\hbox{$\scriptscriptstyle\rightharpoonup$}} \over F}และ\mathord{\buildrel{\lower3pt\hbox{$\scriptscriptstyle\rightharpoonup$}} \over a}ก็เป็นศูนย์แต่ความเร็ว\mathord{\buildrel{\lower3pt\hbox{$\scriptscriptstyle\rightharpoonup$}} \over v}ของรถทดลองจะมีค่ามากที่สุดและมีทิศไปทางซ้าย ดังรูป 4.28 ค
จากนั้นรถทดลองจะเคลื่อนที่ออกจากตำแหน่งสมดุลไปทางซ้ายต่อไปอีก และอัดลวดสปริงให้หดสั้น ลวดสปริงก็จะออกแรง \mathord{\buildrel{\lower3pt\hbox{$\scriptscriptstyle\rightharpoonup$}} \over F}มีทิศไปทางขวาต้านการเคลื่อนที่ของรถทดลอง ในขณะนี้รถทดลองจะเคลื่อนที่ด้วยความเร่ง \mathord{\buildrel{\lower3pt\hbox{$\scriptscriptstyle\rightharpoonup$}} \over v}ที่มีทิศไปทางขวาทำให้ความเร็วรถทดลองลดลงเรื่อยๆ จนกระทั่งความเร็วเป็นศูนย์ ขณะนี้รถทดลองมีการกระจัดค่า - A  ดังรูป   จ  แล้วเคลื่อนที่ต่อไปดังรูปซึ่งเป็นการเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย เราอาจเขียนกราฟของการกระจัดกับเวลาของการเคลื่อนที่ของรถทดลองในรูป  ได้ดังรูป    


  
กราฟของการกระจัดของเวลาสำหรับหนึ่งรอบของการเคลื่อนที่ 


         เมื่อพิจารณาการเคลื่อนที่ของรถทดลองติดปลายสปริงที่เคลื่อนที่ แรงที่สปริงกระทำต่อรถทดลองจะมีค่าเป็น  F  =  - kx   ถ้าให้  m  เป็นมวลของรถทดลอง และ a  เป็นความเร่งของรถทดลอง จากกฎการเคลื่อนที่ข้อที่ 2 ของนิวตัน
จะได้                        F   =  ma  =  -  kx
และ                         a = - \frac{k}{m}x                                                                                                                                        (4.20)
นั่นคือ  การเคลื่อนที่ของรถทดลองติดสปริงเป็นการเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่าง่ายเช่นเดียวกับการเคลื่อนที่ของเงาของดินน้ำมัน มีความเร่งแปรผันตรงกับการกระจัด แต่มีทิศตรงกับข้าม
          เทียบสมการ  ( 4.20)  กับสมการ (4.19) จะเห็นว่า ความเร่งคือ
                               - \frac{k}{m}x = - \omega ^2 x
ดังนั้น                     \omega ^2 = \frac{k}{m}                                    
                               \omega = \sqrt {\frac{k}{m}}                                                 (4.21)
          ความถี่เชิงมุมของการเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย มีความสัมพันธ์กับค่าคงตัวของสปริง และมวลของวัตถุที่ติดกับสปริง ดังสมการ 4.21



การแกว่งของลูกตุ้มอย่างง่าย
          ลูกตุ้มอย่างง่ายคือ ลูกตุ้มที่ประกอบด้วยมวลขนาดเล็ก ตามอุดมคติเป็นจุด แขวนที่ปลายด้ายหรือเชือกอ่อน โดยธรรมชาติวัตถุแขวนห้อยในแนวดิ่งเป็นตำแหน่งสมดุล เมื่อดึงวัตถุให้เอียงทำมุมเล็กๆ กับแนวดิ่งแล้วปล่อยให้วัตถุเคลื่อนที่แกว่งกลับไปมา ซึ่งจะพิสูจน์ได้ว่าเป็นการเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย






      




            ขณะเส้นเชือกเอียงทำมุมกับแนวดิ่งมีแรงกระทำเข้าหาจุดสมดุล



พิจารณาลูกตุ้มที่ผูกติดกับเชือกเบา แล้วแกว่งไปมาในแนวดิ่งในทำนองเดียวกับการแกว่งของลูกตุ้มนาฬิกา โดยกำหนดให้

เป็นมวลของลูกตุ้ม             

เป็นความยาวของเส้นเชือก

เป็นมุมที่เส้นเชือกทำกับแนวดิ่ง
 
 
จากรูปจะเห็นว่าในขณะที่ลูกตุ้มอยู่ในแนว กับแนวดิ่ง การขจัดจะเป็น x ซึ่งถ้า เป็นมุมเล็ก ๆ จะได้ว่า x = L ดังนั้นการขจัดของวัตถุอาจจะเขียนได้ว่าเป็น x หรือเป็น ก็ได้ เมื่อพิจารณาแรงน้ำหนัก mg ของลูกตุ้ม ก็สามารถแตกแรงนี้ออกเป็น 2 ส่วน คือ mgcos อยู่ในแนวเดียวกับเส้นเชือก และ mg sin ซึ่งอยู่ในแนวเส้นสัมผัส แรง mg sin นี่เองที่เป็นแรงดึงกลับที่กระทำต่อลูกตุ้ม
นั่นคือ แรงดึงกลับ = F = mg sin
ในขณะที่ ระยะทางของวัตถุ = x = LQ
ดังนั้น แรงดึงกลับจึงไม่แปรผันโดยตรงกับระยะทาง การแกว่งของลูกตุ้มนาฬิกาไม่น่าเป็น SHM แต่ถ้ามุม มีค่าน้อย ๆ จะได้ว่าในหน่วยเรเดีย
sin =
ดังนั้น แรงดึงกลับ = F = mg
ระยะทาง = x = LQ
จึงได้ว่า แรงดึงกลับเป็นสัดส่วนโดยตรงกับระยะทางแล้ว
นั่นคือ การแกว่งของลูกตุ้มนาฬิกาที่มีมุม น้อย ๆ จึงเป็น SHM
พิจารณาแรงดึงกลับ
F = mg
จากรูป เมื่อ น้อย ๆ จะได้
=
ดังนั้น  F = mg
จากกฎข้อ 2 ของนิวตัน
F = ma
ดังนั้น ความเร่งของตุ้มนาฬิกา = a =
เนื่องจากการเคลื่อนที่ของลูกตุ้มเป็น SHM
ดังนั้น  a = 2x
นั่นคือ  2x = g
หรือ  2 =
=
โดย w เป็นความถี่เชิงมุม (angular frequency) = 2f
ดังนั้น = 2f =
f = = ความถึ่ของการแกว่งของลูกตุ้ม
T = = 2 = คาบของการแกว่งของลูกตุ้ม
 
 
ขณะที่ปล่อยลูกตุ้มมวล m ซึ่งผูกกับเส้นเชือกยาว  \ell เอียงเป็นมุม \thetaเรเดียนกับแนวดิ่ง
ลูกตุ้มมวล m จะมีแรงสองแรงกระทำต่อมวล m คือ น้ำหนักของลูกตุ้ม mg  และแรงดึงในเส้นเชือก T ซึ่งทำมุม\thetaเรเดียนกับแนวดิ่ง ดังรูป  สองแรงนี้รวมกันได้แรงลัพธ์เป็น mg\sin \thetaตามแนวเส้นสัมผัสซึ่งตั้งฉากกับเส้นเชือก
 เนื่องจากแรง  mg  สามารถคิดแยกออกเป็น  2  แรงในแนวตั้งฉากกัน ดังรูป จะเห็นว่าแรงmg\sin \theta เป็นแรงที่ดึงมวล  m  กลับสู่ตำแหน่งสมดุล ให้แรงนี้เป็นแรง F ขณะที่ mg\cos \thetaมีขนาดเท่ากับ T ทำให้เชือกตึงยาวเท่าเดิม  เมื่อคำนึงถึงทิศด้วย แรงลัพธ์  F คือ
                             F= - mg\sin \theta
  ถ้ามุม thetaเป็นมุมเล็กๆ การเคลื่อนที่โค้งประมาณได้ว่าเป็นเส้นตรง คือการกระจัด x และ \sin \theta = \frac{x}{\ell }จะได้
                                                               
                                               F= - mg\frac{x}{\ell }
                                     
     จากกฎการเคลื่อนที่ข้อที่สองของนิวตัน       F  =  ma
                    จะได้                        - \frac{{mg}}{\ell }x = ma
                                                        a= - \frac{g}{\ell }x 
จะเห็นว่า ความเร่งของลูกตุ้มแปรผันตรงกับการกระจัด และมีทิศตรงกันข้ามการแกว่งของลูกตุ้มจึงเป็นการเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่ายด้วย
                   เนื่องจากอัตราเร่งของการแกว่ง                          a = - \omega ^2 x
           ดังนั้น                                      \omega ^2 = \frac{g}{\ell }
                    จาก          \omega = 2\pi fจะได้  f = \frac{1}{{2\pi }}\sqrt {\frac{g}{\ell }}     (4.22)
                    หรือ                          T= 2\pi \sqrt {\frac{\ell }{g}}      (4.23)
          สมการ  (4.23) อาจนับว่าเป็นสมการที่ทำนายคาบของลูกตุ้มอย่างง่ายจากที่ได้วิเคราะห์มาตามหลักการของการเคลื่อนที่ที่ต้องเป็นไปตามกฎของนิวตัน 
 


 

 
 
 
โจทย์การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย










 
 
 วิดีโอแสดงการเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย 
 
 
 
 
 
 
 

 


 




แหล่งที่มาที่ใช่ประกอบบทความ